เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o เม.ย. ๒๕๕๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ธรรมะ เห็นไหม เราปฏิบัติธรรม “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ถ้าเป็นธรรมะย่อมชนะอธรรม คนที่มีคุณธรรมในหัวใจถึงจะเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมมันไม่หวั่นไหวไง มันไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมทั้ง ๘ แต่ถ้าเป็นอธรรมล่ะ อธรรมมันคอยหลบคอยซ่อน คอยหลบคอยหลีก ถ้าคอยหลบคอยหลีก สิ่งนั้นมันไม่เป็นธรรม ถ้าไม่เป็นธรรมนะ ไม่กล้าเผชิญกับความจริง เห็นไหม “ธรรมะย่อมชนะอธรรม”

แต่สิ่งที่สัจธรรม สัจธรรมที่เป็นธรรมจริงๆ ธรรมจริงนี่มีคุณธรรมจริงๆ นะ พระอัญญาโกณฑัญญะเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วอยู่ในป่าในเขามาตลอดชีวิตนะ ตลอดชีวิต จนจะนิพพาน มาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลามาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่พระนิพพาน พระไม่เข้าใจว่าองค์นั้นเป็นใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “นั่นน่ะพี่ชายใหญ่” พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เห็นไหม ถ้าสงฆ์องค์แรกของโลก นี่ธรรมะ ธรรมแท้ๆ มันอยู่กับสัจธรรม อยู่กับความจริง

แต่โลกนี้ โลกเป็นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สิ่งที่สรรเสริญนินทาสิ่งนี้ถ้าความเข้าใจไม่ได้ล่ะ ถ้าความเข้าใจไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ ขณะที่ว่าการเสียสละ การทำทานกัน การทำทาน โลกเขายังรับไม่ได้เลย รับไม่ได้เพราะอะไร เพราะทุกคนต้องการการแสวงหาว่าเป็นสมบัติของตนๆ

แต่ถ้ามีจิตใจเป็นธรรมๆ เขาเสียสละด้วยความเป็นธรรมนะ เสียสละด้วยความเป็นธรรม เสียสละด้วยหัวใจ แต่เสียสละทางโลก เห็นไหม เสียสละด้วยความเกรงอกเกรงใจต่างๆ นี่เริ่มตั้งแต่เรื่องของหยาบๆ

แต่ของละเอียดขึ้นไป เราเสียสละอย่างนั้นได้นะ การให้อภัยกันนั้นมันก็เป็นทาน การให้อภัยนะ ถ้าเรามีความขุ่นข้องหมองใจในใจของเรา เราเสียสละในหัวใจของเรา คือเราไม่ผูกอาฆาต ไม่อาฆาตพยาบาทใคร ถ้าไม่อาฆาตพยาบาทใคร เราเป็นคนที่มีคุณธรรม ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราไม่เร่าร้อน

แต่คนที่เวลาหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในหัวใจมันมีแต่อกุศลในหัวใจ มันมีแต่ความอาฆาตมาดร้าย มีแต่การแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าแสวงหาผลประโยชน์ สิ่งนั้นมันไม่เป็นธรรม ถ้าไม่เป็นธรรมแล้วไม่กล้าเผชิญความจริงด้วย ไม่กล้าเผชิญความจริง เพราะสิ่งนั้นเราแสดงออกไป แสดงออกไปสิ่งนั้น รู้อยู่ว่ามันไม่ถูกต้อง

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ ล่ะ เป็นธรรมที่ไหนมันก็แสดงออกได้ มันทำได้ทุกอย่างถ้าความเป็นธรรม นี่ถ้าเป็นธรรม เราแสวงหาสิ่งนี้กันนะ

เวลาเรียกร้องความยุติธรรมๆ เรียกร้องกันที่ไหน ถ้าเราไม่ได้ทำความผิดพลาดสิ่งใดเลย เราจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเรา แต่ถ้าเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเรา ความยุติธรรมนี้เรียกร้องมาจากใครล่ะ? เรียกร้องมาจากโลก ผู้ที่บังคับใช้กฎหมายเขาจะดูแลสิ่งนั้น ถ้าบังคับใช้กฎหมาย ถ้าคนที่บังคับใช้กฎหมายเขาไม่เป็นธรรมล่ะ เห็นไหม เขาไม่เป็นธรรม เขาทุจริต เขาหาผลประโยชน์ของเขา เราเรียกร้องขนาดไหนเราก็ไม่ได้ดั่งความเป็นจริง นี่เรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องเวรเรื่องกรรมเพราะเป็นสภาคกรรมไง

สภาคกรรม เราเกิดมาในสังคม ถ้าสังคมไม่เข้มแข็ง เห็นไหม สัจธรรมในสังคมนั้นอ่อนแอ สังคมอ่อนแอ ทำสิ่งใดเขาเกรงอกเกรงใจ ลูบหน้าปะจมูกไปหมด การลูบหน้าปะจมูกไปหมด สิ่งนั้นเป็นธรรมไหมล่ะ

ถ้าสิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม เขาว่า เวลาลูบหน้า มันไม่ปะจมูก จมูกขาดไปเลย จมูกขาดไปเลย จมูกขาดเพราะมันเป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริง เราทำสิ่งนั้นได้ไหมล่ะ

เห็นไหม เรียกร้องความเป็นธรรมกับโลกเป็นแบบนั้น ถ้าเรียกร้องความเป็นจริงกับเราล่ะ

เราอยู่กับสังคมโลก เราเอาสิ่งนั้นมาเป็นคติกับเรา ถ้าสิ่งที่มันไม่เป็นความจริง มันอยู่ไม่ได้ ถ้ามันเผชิญกับความจริงไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ตามสถานะความเป็นจริงของเขา แต่ถ้าเราเป็นธรรมๆ ดูสิ กระแสของโลกเขาจะไม่เห็นด้วย เขาจะต่อต้านรุนแรงขนาดไหน นั่นเป็นเรื่องของโลก ถ้าเป็นความจริงของเรา เห็นไหม เราอยู่ในป่าในเขาของเขา เรามีความสุขความสงบในหัวใจของเรา นี่เป็นความจริงของเรา เรายืนยันในใจของเรา เพราะมันเป็นปัจจัตตัง ความลับไม่มีในโลก เรารู้ของเรา นี่เรารู้ของเรา

ทีนี้ความรู้ของเรา ถ้าคนจิตใจอ่อนด้อย จิตใจที่ไม่มีกำลัง สิ่งที่ว่าพอเราปฏิบัติไป พอมันมีความสงบของใจ มันมีต่างๆ ก็ว่าสิ่งนั้นเป็นนิพพาน สิ่งนั้นเป็นนิพพาน

นั่นมันไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะถึงเวลาแล้วมันแปรสภาพไง สิ่งที่มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นกุปปธรรม มันยังแปรสภาพอยู่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายแปรสภาพๆ พอแปรสภาพมา ขณะที่มันแปรสภาพมา นี่รสของธรรม เราได้ลิ้มรสอย่างนั้นขึ้นมา แต่มันไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงที่สุดนี่มันก็อนิจจัง มันก็เสื่อม มันก็เป็นธรรมดาของมัน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันพิสูจน์ตรวจสอบ พิสูจน์ตรวจสอบจนเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันจะหวั่นไหวกับสิ่งใดล่ะ ความจริงก็คือความจริง ถ้าความจริง นี่พูดความจริงแล้ว ทำไมไม่พูดความจริงกันล่ะ ถ้าพูดความจริงแล้ว ทุกคนแสวงหาความยุติธรรมๆ นะ

แม้แต่เจ้าหน้าที่เขาจะทุจริตของเขา เขาจะไม่ซื่อสัตย์ของเขา ถ้าเอามาพิสูจน์กัน พิสูจน์กันด้วยความจริง ความจริงมันพิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ได้ ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่มันต้องใช้กาลเวลานะ มันต้องมีเวลาของมันเพื่อให้สังคมเขาปรับสภาพของเขา ให้เขารับรู้ของเขาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง เพราะการรับข้อมูลของคนแตกต่างกัน จริตนิสัยของคนแตกต่างกัน เห็นไหม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรม เราทำสัจจะความจริง

ในทางสังคมเขาบอกว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงนั้นตาย”

คนพูดความจริง ความจริงเขาพยายามจะหลีกเร้นกัน หลีกเร้นกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เห็นไหม ถ้าแสวงหาผลประโยชน์ เวลาเราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติแล้วเราอยากประสบความสำเร็จ เราอยากให้คนนับหน้าถือตา เราอยากให้คนเชื่อถือ

เวลาประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องหนึ่ง นับหน้าถือตานั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ประสบความสำเร็จของเรา นี่ทุกข์ในใจของเรา เราได้สำรอก เราต้องคายของเราออก ถ้าทุกข์ในใจของเราได้สำรอกได้คายออก อันนี้เป็นผลประโยชน์ของเรา แต่คนนับหน้าถือตา ใครจะนับหน้าถือตาล่ะ

ความนับหน้าถือตาอย่างนั้น เห็นไหม กระแสโลก กระแสโลกที่เขาสร้างกระแสกันขึ้นมา นับหน้าถือตาแล้วมันเป็นประโยชน์อะไรล่ะ มันเป็นประโยชน์สิ่งใดกับความเป็นจริงในหัวใจเราล่ะ

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วสำรอกคายกิเลสออกไป ถ้าใครจะนับหน้าถือตา ไม่นับหน้าถือตา นั้นมันเป็นเวรกรรมของเขานะ นี่สายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรมเกิดขึ้นก็ทำประโยชน์ได้ ถ้าสายบุญสายกรรมไม่เกิดขึ้น เราได้ทำประโยชน์ของตัวเองสิ้นสุดแล้ว นี่ถ้าได้ทำประโยชน์ของตัวเองสิ้นสุดแล้ว

จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เวลาจิตเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ จิตดวงเดียวเวียนตายเวียนเกิด ร่างกายที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต่างๆ ขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้ถ้าเก็บไว้ มันไม่มีที่สิ้นสุด นี่จิตเวียนตายเวียนเกิด

จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะอยู่นี่ แล้วมันได้สำรอก มันได้คายของมันออก ได้ประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา อันนี้ว่าสายบุญสายกรรมๆ สายบุญสายกรรม จิตเราเองนี่แหละ จิตเราเองได้สร้างสมบุญญาธิการมา ได้ทำของเรามา นี่ธรรมะมันเป็นแบบนี้ ถ้าธรรมะเป็นแบบนี้ ธรรมะย่อมชนะอธรรม มันชนะหมด ชนะจนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

แต่ถ้ามันเป็นกระแสของสังคม มันหลอกลวงกัน ความจริงก็ไม่มี ถ้าความจริงไม่มี เห็นไหม ดูสิ มันมีแต่ทับถม ทับถมในใจของผู้กระทำนั้น เพราะใจผู้กระทำนั้นมันจะมีความจริงมาจากไหนล่ะ นี่อธรรมๆ มันทำให้จิตใจนั้นต่ำต้อย ถ้าจิตใจต่ำต้อย นี่ต่ำต้อย แต่สร้างกระแสขึ้นมา กระแสอย่างนี้มันเป็นกระแสสังคม คนเรามันแตกตื่น มันตื่นตามกระแสสังคมกันไป มันไม่เป็นความจริง

ทีนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติขึ้นมา มันเกิดสมาธิขึ้นมา ความแนบแน่นของใจ มันจะไม่เป็นเหยื่อ เราไม่ไปตามกระแสสังคม ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญา ชำระล้างกิเลสในหัวใจของเราขึ้นมา ถ้าชำระล้างกิเลสในหัวใจ นี่สัจธรรมอันนี้

สัจธรรมอันนี้ทุกคนแสวงหา แต่เวลามันไพล่ไป ไพล่ไปเอาแต่กระแสกัน เอาแต่รูปแบบ ถ้ารูปแบบนั้นใครก็สร้างขึ้นมาตามรูปแบบ แล้วรูปแบบที่ดี คนก็เชื่อถือศรัทธา เชื่อถือศรัทธาแล้วมันมีอะไรเป็นความจริงล่ะ แต่ถ้าไม่เอารูปแบบ เอาความจริง เอาสัจจะๆ สัจจะมันเกิดจากไหน

เราภาวนาไม่เป็น เราจะไม่รู้เลยว่าครูบาอาจารย์องค์ไหนท่านจะสอนเราถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราภาวนาเป็นขึ้นมา เห็นไหม พอเรามีสมาธิขึ้นมา ถ้าอาจารย์องค์นี้พูดถึงสมาธิถูกต้อง แต่ถ้าปัญญาที่ท่านเทศนาเรื่องปัญญาขึ้นมา เรายังไม่มีปัญญาขึ้นมา เราจะไม่เข้าใจเหมือนกัน

เราเคยทำสมาธิได้ ครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงสมาธิถูกต้อง องค์นี้ใช่ ทำสมาธิเป็น แต่ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เราเคยฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิเป็นฐานขึ้นมา แล้วเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะเห็นแจ้งในความเป็นจริงของจิตดวงนั้น

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงการทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าถูกต้อง แล้วท่านออกใช้ปัญญาที่ถูกต้อง นี่ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการถูกต้องของท่าน ท่านมีปัญญาของท่าน ท่านมีองค์ความรู้ของท่าน เป็นความจริงของท่าน นี่ไง ถ้าเราภาวนาไม่เป็น เราจะไม่รู้เลยว่าอาจารย์องค์ไหนแสดงธรรมถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

เพราะเวลาแสดงธรรม นี่แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เป็นร่องเป็นรอยของเรา เราศึกษาสิ่งนั้นมา เราเอาสิ่งนั้นมา เราศึกษามาเป็นความรู้ของเรา เป็นปริยัติขึ้นมา เราก็แสดงธรรมสิ่งนั้น

แล้วเวลาคนปฏิบัติไม่เป็นไม่รู้หรอกว่าความขาดตกบกพร่องของมัน มันจะเป็นอย่างใด แต่คนปฏิบัติขึ้นมา มันสืบต่อเนื่องกันไป ถ้าไม่มีสติ สมาธิมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีสมาธิขึ้นมา ปัญญาที่เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาได้อย่างไร นี่มันมีเหตุการณ์ของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

เวลาศึกษาทางวิชาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็พูดเป็นนกแก้วนกขุนทองไป แต่ขั้นตอนของมันติดขัด มันจะขัดแย้งกัน มันไม่เป็นตามพื้นฐานขึ้นไปตามความเป็นจริง เห็นไหม

ถ้าพื้นฐานตามความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นอย่างไร แล้วพอศีล สมาธิ ปัญญา พอธรรมจักรมันเกิดขึ้น ธรรมจักรเกิดขึ้นนี้มันเวียนไป จักรที่มันเกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม ธรรมดาของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเราโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี้เป็นกงจักร กงจักรเพราะอะไร กงจักรเพราะมันทำลายเขาหมดไง มันทำลายหลักการของเรา ทำลายตัวเราเองนะ ทำลายตัวเองเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งใดเกิดขึ้นมามันก็อยากจะคลุกคลี อยากจะแสดงออกไป

แต่ถ้ามันเป็นธรรมจักร มันทำลายสิ่งที่เป็นความคลอนแคลนในใจไง “ธรรมจักร” จักรที่มันคงที่ จักรที่มันเคลื่อน จักรที่มันหมุนไป มันจะย้อนกลับมาทำลายภวาสวะ ทำลายพญามารในใจของเรา มันมั่นคง มีเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นขึ้นมา มันย้อนกลับมาทำลายภวาสวะ ทำลายสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา มันไม่ออกไปคลุกคลีข้างนอก เห็นไหม

ถ้าเป็นกงจักร กงจักรมันคลอนแคลนในหัวใจของเรา “กงจักร” เพราะมันเป็นมารใช่ไหม มารมันเกิดในหัวใจขึ้นมา มันไม่เห็นตัวมัน มันผลักไสออกไป กงจักรมันก็หมุนออกไปจะทำลายคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่มันทำลายตัวมันเองแล้วไง นี่อวิชชาๆ ความไม่รู้ของมัน มันทำลายตัวมันเองแล้วยังไม่รู้ว่ามันทำลายตัวมันเอง เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นธรรมจักร มันมั่นคงของมัน ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นฐานมั่นคง สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ในเมื่อมีฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันเกิดงานตามความเป็นจริงขึ้นมา งานภาวนามยปัญญา งานที่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ที่ความเป็นอนัตตาๆ จิตมันเห็นความเป็นอนัตตาขึ้นมา มันทำลายตัวมัน นี่ธรรมจักรถ้ามันเกิดขึ้น ความเป็นจริงมันจะเห็นตามความเป็นจริงของมัน ไม่ใช่กงจักร กงจักรคือความเร่าร้อนในใจ กงจักรคือสิ่งที่ไม่มีความเป็นจริงในหัวใจ เห็นไหม นี่อธรรมๆ ไง

ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะมันแพ้อธรรม ถ้าธรรมะมันแพ้ อธรรมมันเกิดในใจแล้ว นี่อธรรมมันเกิดในใจ แต่เวลาอ้าง อ้างธรรมะนะ ดูสิ หลวงตาท่านพูดบ่อย “หมามันห่มหนังเสือ หมามันห่มหนังเสือ” นี่เวลาเอาหนังเสือมาคลุม

เสือเวลามันคำราม บันลือสีหนาท มันเป็นเสียงคำรามของเสือ แต่ถ้าเป็นหมานะ เวลาเอาหนังเสือมาห่ม เวลามันเห่าออกไป มันก็เป็นเสียงหมานั่นแหละ มันเห่ามันก็เป็นเสียงหมา มันจะเอาเสียงเสือมาจากไหน มันก็มีแต่เสียงหมา นี่อธรรมๆ ไง มันไม่มีข้อเท็จจริง มันไม่มีความจริง มันทำลายไปทั้งนั้นแหละ มันไม่มีสัจจะ

แต่ถ้าเป็นเสือบันลือสีหนาท สัจธรรม เห็นไหม มันมีขั้นมีตอนของมัน มันเป็นความจริงของมัน นี่มันจะเป็นธรรม มันไม่เป็นอธรรมไง ถ้าเป็นอธรรมๆ มันทำลายหัวใจดวงนั้น แล้วถ้าหัวใจดวงนั้นมันมีศักยภาพ มีอำนาจวาสนา เพราะอะไร เพราะมันเป็นอธรรม แต่มีอำนาจวาสนาหมายถึงว่าเขาสร้างบุญกุศลของเขามา กระแสสังคมเชื่อถือเขา นี่สิ่งที่เป็นกระแส

ดูสิ อธรรมเกิดกับใจดวงนั้น เขาจะพาหมู่คณะ พาสิ่งต่างๆ นี่ไง เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโคนำฝูงๆ ถ้าโคมันโง่ โคมันตาบอด มันพาฝูงโคไปไหนนั่นน่ะ เวลาแสดงธรรม แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่หมามันห่มหนังเสือ มันแสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะพาฝูงโคนั้นไป แล้วในเมื่อมันเป็นกงจักร มันพาฝูงโคนั้นไป มันจะพาฝูงโคนั้นไปไหนล่ะ? พาฝูงโคนั้นไปสู่ความเศร้าหมอง

แต่ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม เป็นธรรมๆ มันสว่างไสวในหัวใจ มันเปิดโล่งในใจ มันเปิดโล่งในใจนะ ความเป็นธรรมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข ท่านซาบซึ้ง ซาบซึ้งนะ ซาบซึ้งมาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบนี่กราบธรรมๆ พระงงไปหมดเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของ เราหาเงินมา เรากราบเงินเราทำไม เราหาเงินมา เราก็กราบเงินของเราเอง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เรากราบธรรมๆ” กราบธรรม นี่คุณธรรม สัจธรรมมันเป็นความจริง ถึงว่าเป็นเงินที่เราหามา แต่เงินที่เราหามามันก็ใช้ประโยชน์ได้ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ มันซาบซึ้งๆ ไง เวลาแสดงธรรมขึ้นไป เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มีพยานแล้ว มีพยานแล้ว “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” รู้อะไรล่ะ? รู้ในรสของธรรมนั่นไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา กราบธรรมๆ แล้วพระที่มันรู้ธรรมขึ้นมา ทำไมมันจะไม่ซาบซึ้ง ทำไมมันจะไม่มีความกตัญญู ทำไมจะไม่มีความชื่นบานในใจ ทำไมจะไม่เห็นคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบถึงบุญคุณอันนั้น “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อย่างนี้” นี่ซาบซึ้งในธรรมๆ แล้วถ้าคนมีคุณธรรม มันเป็นธรรมอย่างนี้

ธรรมะย่อมชนะอธรรม เพราะมันย่อมชนะในใจของผู้รู้นั้นก่อน

ใจของผู้นั้นมันมีกิเลสอวิชชาในหัวใจ นี่ธรรม สภาวธรรมที่เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราพยายามของเราด้วยความเพียรชอบ เราหมั่นขวนขวายของเรา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาให้มันเกิดสัจจะขึ้นมาตามความจริง นี่เกิดธรรมจักรขึ้นมาในใจ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา เราอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ๆ

แล้วถ้าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา ธรรมจักรมันเกิดขึ้นมา ภาวนามยปัญญามันหมุนเข้ามาๆ มันทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา เวลามันบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันกราบมันไหว้ มันเห็นบุญเห็นคุณ เห็นบุญเห็นคุณ

แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านสั่งท่านสอน เวลาเราทำสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ครูบาอาจารย์ท่านคอยบอกคอยแนะคอยนำ เราก็อึดอัดขัดข้องไปหมดเลย “ไม่รักเรา ไม่เชิดชูเรา”

จะไปเชิดชูกิเลสได้อย่างไร ก็นี่มันกิเลสทั้งนั้น มีการเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เบียดเบียนคนอื่นทั้งนั้น มันต้องทำลายๆ ถ้าใครทำลายขึ้นมา ดวงใจนั้นก็ผ่องแผ้ว เพราะเขาทำลายอธรรมในใจนั้น ถ้าทำลายอธรรมในใจนั้น ดวงใจนั้นก็ผ่องแผ้ว เขาก็เป็นคุณของเขา แล้วพอสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ครูบาอาจารย์ไม่ส่งเสริมเรา ไม่ส่งเสริมเรา แต่เวลาเรามาทำลายอวิชชาในใจของเรา มันยิ่งผ่องแผ้ว มันยิ่งซาบซึ้งๆ มันซาบซึ้ง

ธรรมะมันย่อมชนะอธรรม ย่อมชนะในใจดวงนั้นก่อน ถ้าใจดวงนั้นเป็นธรรมๆ มันมีความกตัญญูกตเวที มันเคารพนอบน้อม ถึงท่านมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่ เราก็เคารพของเรา

ท่านมีชีวิตอยู่ เราก็ยิ่งเคารพใหญ่ เพราะท่านเป็นคนชี้นำเรา ถ้าท่านล่วงไปแล้ว นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ละล้าละลังๆ อาราธนาไว้

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องตายในคืนนี้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะต้องล่วงไปเป็นธรรมดา เธอจะมารั้งไว้สิ่งใด”

นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีชีวิตอยู่ เราก็เคารพบูชาของเรา เวลาท่านล่วงไปแล้ว เราก็ต้องเคารพบูชาของเรา ถ้ามันเป็นธรรมนะ ถ้ามันเป็นธรรม จะอยู่หรือตาย มันก็อันเดียวกันนั่นแหละ ท่านจะอยู่กับเรา เราก็เคารพของเรา ท่านตายไปแล้ว เราก็เคารพคุณงามความดีของท่าน หลักการของท่าน เราก็เคารพท่าน

นี่ถ้ามันชนะใจตัวเอง ธรรมะย่อมชนะอธรรม ต้องชนะใจดวงนั้น แล้วจะไม่ทำให้สังคมปั่นป่วน ถ้าในใจมันเป็นอธรรม แล้วเวลามันแสดงธรรมๆ แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ นั่นแหละแพ้ภัยตัวเอง

พอแพ้ภัยตัวเอง เห็นไหม เพราะแพ้ภัยตัวเอง เพราะแพ้อวิชชาในใจ อวิชชามันเหยียบย่ำใจเราแล้วแหละ เหยียบย่ำใจของเรา แต่แสดงออกไปขนาดไหน มันก็แสดงอธรรมทั้งนั้นแหละ เวลาแสดงอธรรม แต่พยายามบังไว้ไง ทุกคนรู้อยู่ว่าอะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นธรรม เพราะมันปั่นป่วนในใจ แต่จะแสดงออกไปก็แสดงออกไปด้วยมารยาสาไถย

แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม จะอยู่โคนไม้ จะอยู่ในหอปราสาทราชวังขนาดไหน จะอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม ธรรมแสดงที่ไหนก็ได้ แต่กาลเทศะควรหรือไม่ควร นี่ผู้ที่มีคุณธรรมในใจเขาจะรู้ของเขาว่าควรหรือไม่ควร มันถึงเวลา ไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาแล้ว สิ่งใดที่เกิดขึ้น ถ้ามันเป็นประโยชน์ก็ต้องเป็นประโยชน์ สิ่งที่ทำแล้วมันก็เป็นธรรม ฉะนั้น เป็นธรรม เราแสวงหาสิ่งนั้น

ฉะนั้น ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา สร้างแต่คุณงามความดีของเรา อย่า! อย่าให้มาร อย่าให้ความรุ่มร้อนในใจมันพยายามเผาลนเราแล้วแสดงออกไปเป็นสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่สร้างเวรสร้างกรรม สิ่งนั้นไม่ดีเลย ฉะนั้น เราพยายามทำสิ่งที่ดีๆ เราพยายามดูแลใจของเรา แล้วถ้าเป็นธรรมขึ้นมา เราจะเห็นว่าธรรมย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม เอวัง